ประวัติการลีลาศหรือเต้นรำมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันกันการเต้นแบบอื่นๆ
มากมาย เช่น การเต้นระบา บัลเล่ย์ การเต้นระบำพื้นเมือง ฯลฯ จึงขอสรุปโดยแบ่งยุค
การเต้นรำาออกเป็น 6 ยคุ ดังนี้
ยุคก่อนประวัติศาสตร์
การเต้นรำาถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่งของการแสดงออกของบุคคล ศิลปะการเต้นรำในสมัยก่อนประวัติศาสตร์
ได้ถูกค้นพบจากภาพวาดบนผนัง ถ้าในแอฟริกาและยุโรปตอนใต้ ซึ่งศิลปะในการเต้นรำได้ถูกกวาดมาไม่น้อยกว่า
20,000 ปี พิธีกรรมทางศาสนาจะรวมการเต้นรำ การดนตรี และการแสดงละคร
ซึ่งเป็นสิ่งในชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์มาก
พิธีกรรมเหล่านี้อาจเป็นการบวงสรวงเทพเจ้า เทพธิดา หรือจากการล่าสัตว์มาได้ หรือการออกสงคราม
นอกจากนี้อาจมีการเฉลิมฉลองการเต้นรำด้วยเหตุอื่นๆ เช่น ฉลองการเกิด การหายจากเจ็บป่วย
หรือการไว้ทุกข์
ยุคโบราณ การเต้นรำของพวกที่นับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และพวกที่ไม่มีศาสนาในสมัยโบราณนั้น
โดยเฉพาะในเขตทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและตะวันออกกลาง มีภาพวาด รูปปั้นแกะสลัก และบทประพันธ์ของชาวอียิปต์โบราณ
แสดงให้เห็นว่าการเต้นรำได้ถูกจัดขึ้นในพิธีศพ ขบวนแห่ และพิธีกรรมทางศาสนา ชาวอียิปต์โบราณส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร
ทุกๆปีแม่น้ำไนล์จะหลาก เมื่อน้ำลดจะทำการเพาะปลูก และมีการเต้นรำหรือแสดงละคร
เพื่อขอบคุณเทพเจ้าโอซิริส (God Osiris) ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งการเกษตร
นอกจากนี้การเต้น รำยังนำมาใช้ในงานส่วนตัวเพื่อความสนุกสนาน เช่น การเต้นรำของพวกข้าทาส
ซึ่งจัดขึ้นเพื่อความสนุกสนาน และต้อนรับแขกที่มาเยือน กรีกโบราณเห็นว่าการเต้นรำเป็นสิ่งจำเป็นในการศึกษา
การบวงสรวงเทพเจ้า เทพธิดา และการแสดงละคร ปรัชญาเมธีพลาโต ให้ความเห็นว่า “ พลเมืองกรีกที่ดี ต้องเรียนรู้การเต้นรำเพื่อพัฒนาการบังคับร่างกายตนเอง
ทักษะในการต่อสู้” ดังนั้นการเต้นรำด้วยอาวุธจึงถูกนำมาใช้ในการศึกษาทางทหารของเด็กทั้งในรัฐเอเธนส์และสปาร์ต้า
นอกจากนี้ยังถูกนำมาใช้ในการแต่งงาน ฤดูกาลเก็บเกี่ยวพืชผล และในโอกาสอื่นๆการเต้นรำทางศาสนา
เป็นส่วนสำคัญ ในการกำเนิดการละครของกรีก ระหว่าง 500 ปี ก่อน ค.ศ.
การละครของกรีกเรียกว่า “ Tragidies” ซึ่งพัฒนามาจากเพลงสวดในโบสถ์
และการเต้นรำเพื่อสรรเสริญเทพเจ้าดิโอนิซุส (God Dionysus ) ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งเหล้าองุ่น
การเต้นรำแบบ
Emmeieia เป็นการเต้นรำที่สง่าภูมิฐาน
ได้ถูกนำมาใช้ในละคร Tragedies โดยครูสอนเต้นรำจะต้องบอก
เรื่องราวและชี้แนะท่าทางที่ต้องแสดงเพื่อให้จดจำ ได้การแสดงตลกขบขันสั้นๆ
ของกรีกเรียกว่า “Satyrs” ก็
จัดอยู่ในการเต้นรำของกรีกด้วย เมื่อโรมันรบชนะกรีก เมื่อ 197 ปี ก่อน
ค.ศ. โรมันได้ปรับปรุงวัฒนธรรม
การเต้นรำของกรีกให้ดีขึ้น การเต้นรำของโรมันคล้ายกับของกรีกที่เต้นรำเพื่อบวงสรวงเทพเจ้า
หญิงชาว
โรมันก็จะถูกฝึกให้เต้นรำ แม้แต่ชาวต่างชาติหรือพวกข้าทาสที่อยู่ในโรมันก็จะมีการเต้นรำด้วย
ชาวโรมันจะ
เต้นรำหลังจากการเพาะปลูกหรือกลับจากสงคราม ในยุคนี้มีนักเต้นรำของโรมนั
ที่มีชื่อเสียงมาก คือ ซิซีโร
(Cicero : 106-43 B.C.) ซึ่งเป็นผู้คิดและปรับปรุงลักษณะท่าทางการเต้นรำของโรมันให้ดีขึ้น
ยุคกลาง ( ค.ศ.400 –1,500)
เป็นยุคที่ค่อนข้างสับสนวุ่นวาย สังคมไม่สงบสุข โบสถ์มีอิธิพลต่อการเต้นรำของยุโรปมาก
โบสถ์มีข้อห้ามมากมายเกี่ยวกับการเต้นรำ ทั้งนี้เป็นเพราะการเต้นรำบางอย่างถือว่าต่ำช้า
และเพื่อกามอารมณ์ อย่างไรก็ดีผู้ที่ชอบการเต้นรำมักจะหาโอกาสจัดงานเต้นรำขึ้นในหมู่บ้านของตนอยู่เสมอ
ในปีค.ศ. 300
บรรดาผู้ใช้แรงงานฝีมือได้จัดละครทางศาสนาขึ้นและมีการเต้นรำรวมอยู่ด้วยระหว่างปี
ค.ศ. 300 เกิดโรคซึ่งเรียกว่า “ ความตายสีดา” ระบาดในยุโรปทำลายชีวิตผู้คนไปมากจนทำให้ผู้คนแทบเป็นบ้า
ประชาชนจะร้องเพลงและเต้นรำคล้ายคนวิกลจริตที่หน้าหลุมศพ ซึ่งเขาเชื่อว่า การแสดงของเขาจะช่วยขับไล่สิ่งเลวร้ายและขับไล่ความตายให้หนีไปจากชีวิตความเป็นอยู่ของเขา
ในยุคกลางยุโรปยังมีการเฉลิมฉลองการแต่งงาน วันหยุด และประเพณีต่างๆตามโอกาสด้วย “ การเต้นรำพื้นเมือง” ผู้ใหญ่และเด็กในชนบทจะจัดรำดาบ
และเต้นรำรอบเสาสูงที่ผูกริบบิ้นจากยอดเสา(Maypoles) พวกขุนนางที่ไปพบเห็นก็ได้นำมาพัฒ
นาปรับปรุงให้ดีขึ้นการเต้นรำแบบวงกลมของบรรดาขุนนางซึ่งเรียกว่า “Carol”เป็นการเต้นรำที่ค่อนข้างช้า ในช่วงปลายยุคกลาง
การเต้นรำถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของขบวนแห่ต่างๆหรือในงานเลี้ยงที่มีเกียรติ
ยุคฟื้นฟู ( ค.ศ. 1400-1600 ) เป็นยุคที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม
ยุคฟื้นฟูเริ่มในอิตาลี เมื่อปี ค.ศ. 300 ในช่วงปลายสมัยกลางแล้วแพร่ขยายไปในยุโรป
ปี ค.ศ. 300 ในอิตาลี ขุนนางที่มั่นคงในเมืองต่างๆ จะจ้างครูเต้นรำอาชีพมาสอนในคฤหาสน์ของตน
เรียกการเต้นรำสมัยนั้นว่า Balli หรือ Balletti ซึ่งเป็นภาษาอิตาลี แปลว่า “การเต้นรำ”ในปี ค.ศ. 1588 พระชาวฝรั่งเศสชื่อ โตอิโน อาโบ (Thoinnot
Arbeau: ค.ศ. 1519-1589) ได้พิมพ์หนังสือเกี่ยวกับการเต้นรำชื่อ
ออเชโซกราฟี (Orchesographin)ในหนังสือได้บรรยายถึงการเต้นรำแบบต่างๆหลายแบบ
เป็นหนังสือที่มีคุณค่ามาก บันทึกถึงการเต้นรำที่นิยมใช้กันในบ้านขุนนางต่างๆ ในยุโรประหว่างศตวรรษที่
16 งานเลี้ยงฉลองได้ถูกจัดขึ้นตามโอกาสต่างๆ เช่น วันเกิด การแต่งงาน
และการต้อนรับแขกที่มาเยือนในงานจะรวมพวกการเต้นรำ การประพันธ์ การดนตรี
และการจัดฉากละครด้วย ขุนนางผู้หนึ่งชื่อ Lorenzo de
Medlci ไดจ้ดังานขึ้นที่คฤหาสน์ของตน โดยตกแต่งคฤหาสน์ด้วยสีสันต่างๆ
และจัดให้มีการแข่งขันหลายๆอย่าง รวมทั้งการเต้นรำสวมหน้ากาก (Mask Dance) ซึ่งต้องใช้จังหวะ
ดนตรีประกอบการเต้นพระนางแคทเธอรีน เดอ เมดิซี (Catherine
de Medicis ) พระราชินีในพระเจ้าเฮนรี่ที่ 2 เดิมเป็นชาวฟลอเรนซ์แห่งอิตาลี
พระองค์ได้นำคณะเต้นรำของอิตาลีมาเผยแพร่ในพระราชวังของฝรั่งเศส และเป็นจุดเริ่มต้นของระบำบัลเล่ย์
พระองค์ได้จัดให้มีการแสดงบัลเล่ย์โดยพระองค์ทรงร่วมแสดงด้วย
ในสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส
ได้ปรับปรุงและพัฒนาการบัลเล่ย์ใหม่ได้ตั้งโรงเรียนบัลเล่ย์ขั้นแห่งแรก ชื่อ Academic Royale de Dance จนทำ ให้ประเทศฝรั่งเศสเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมของยุโรป
พระองค์คลุกคลีกับวงการบัลเล่ย์มาไม่น้อยกว่า 200 ปี โดยพระองค์ทรงร่วมแสดงด้วยบทบาทที่พระองค์ทรงโปรดมากที่สุดคือ
บทเทพอพอลโลของกรีก จนพระองค์ได้รับสมญานามว่า “พระราชาแห่งดวงอาทิตย์” การบัลเล่ย์ในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่
14 นี้ค่อนข้างจะสมบูรณ์มาก การเต้นระบำบัลเล่ย์ในพระราชวังนี้เป็นพื้นฐานของการลีลาศ
การเต้นรำในปี ค.ศ. 1700 ซึ่งเป็นที่นิยมมากที่สุด
ได้แก่Gavotte,Allemande และ Minuet รูปแบบการเต้นจะประกอบด้วยการก้าวเดินหรือวิ่ง
การร่อนถลา การขึ้นลง
ของลำตัว การโค้ง และถอนสายบัว ภายหลังได้แพร่ไปสู่ยุโรปและอเมริกา
เป็นที่ชื่นชอบของ ยอร์ช วอชิงตัน ประธานาธิบดีคนแรกของอเมริกามาก การเต้นรำในอังกฤษซึ่งเป็นการเต้นรำพื้นเมืองและนิยมกัน
มากในยุโรป เรียกว่า Country Dance ภายหลังได้แพร่ไปสู่อาณานิคมตอนใต้ของอเมริกา
ยุคโรแมนติค เป็นยุคที่มีการปฏิรูปเรื่องบัลเล่ย์ในสมัยนี้นักเต้นรำมีความเป็นอิสระเสรีในการเคลื่อนไหวและการแสดงออกของบุคคล
สมัยก่อนการแสดงบัลเล่ย์มักจะแสดงเรื่องที่เกี่ยวกับเทพเจ้า เทพธิดา แต่สมัยนี้มุ่งแสดงเกี่ยวกับ ชีวิตคนธรรมดาสามัญ เป็นเรื่องง่ายๆและจินตนาการในสมัยที่มีการปฏิวัติในฝรั่งเศส
( ค.ศ.1789 ) ได้มีการกวาดล้างพวกกษัตริย์และพวกขุนนางไป เกิดความรู้สึกอย่างใหม่คือ
ความมีอิสระเสรีเท่าเทียมกัน เกิดการเต้นวอลซ์ ซึ่งรับมาจากกรุงเวียนนา
ประเทศออสเตรีย ซึ่งเชื่อกันว่ามีรากฐานมาจากการเต้นLandler การเต้นวอลทซ์ได้แพร่หลายไปสู่ประเทศที่เจริญแล้วในยุโรปตะวันตก
เนื่องจากการเต้นวอลซ์
อนุญาตให้ชายจับมือและเอวของคู่เต้นรำได้ จึงถูกคณะพระคริสต์ประณามว่าไม่เหมาะสมและไม่สุภาพ
เรียบร้อยในช่วงปี ค.ศ. 1800-1900 การเต้นรำใหม่ๆที่เป็นที่นิยมกันมากในยุโรปและอเมริกา
จะเริ่มต้นจาก
คนธรรมดาสามัญโดยการเต้นรำพื้นเมือง พวกขุนนางเห็นเข้าก็นำไปประยุกต์ให้เหมาะสมกับราชสำนัก
เช่น
การเต้นโพลก้า วอลซ์ ซึ่งกลายเป็นที่นิยมมากของคนชั้นกลางและชั้นสูงในอเมริการูปแบบใหม่ในการเต้นรำที่นิยมมากในหมู่ชนชั้นกรรมาชีพและพวกที่ยากจน
คน ผิวดำนิยมเต้น Tap-Danced หรือระบาย่ำเท้า
โดยรวมเอาการเต้นรำพื้นเมืองในแอฟริกา การเต้นแบบจิ๊ก ( jig) ของชาวไอริส และการเต้นรำแบบคล๊อก
(Clog) ของชาวองักฤษเข้าด้วยกัน
คนผิวดำมักจะเต้นไปตามถนนหนทางก่อนปี ค.ศ. 1870 การเต้นรำได้
ขยายไปสู่เมืองต่างๆในอเมริกา ผู้หญิงที่ชอบร้องเพลงประสานเสียงจะเต้นระบำแคนแคน
(Can-Can ) โดย
ใช้การเตะเท้าสูงๆ เพื่อเป็นสิ่งบันเทิงใจแก่พวกโคบาลที่อยู่ตามชายแดนอเมริกา
ระบำแคน แคน มีจุดกำเนิดมาจากฝรั่งเศส
ยุคปัจจุบัน ( ค.ศ. 1900 ) จังหวะวอลซ์จากกรุงเวียนนา
ประเทศออสเตรีย ซึ่งเกิดขึ้นในปลายศตวรรษที่ 17 แต่มิได้เผยแพร่ จนกระทั่งในปี
ค.ศ. 1816 จังหวะวอลซ์ ได้ถูกนำมาเผยแพร่ต่อที่ประชุมโดยพระเจ้ายอร์ชที่ 4 แม้จะไม่สมบูรณ์นักในขณะนั้น
แต่ก็จัดว่าจังหวะวอลซ์เป็นจังหวะแรกของการลีลาศแท้จริง เพราะคู่ลีลาศสามารถจับคู่เต้นรำได้ในราวปี
ค.ศ. 1840 การเต้นรำบางอย่า งกลับมาเป็นที่นิยมอีก อาทิ โพลก้า จากโบฮิเมีย ซึ่งเป็นที่นิยมมากในเวียนนา
ปารีส และลอนดอน จังหวะมาเซอก้า( Mazuka) จากโปแลนด์ก็เป็นที่นิยมมากในยุโรปตะวันตกในราวกลางศตวรรษที่
19 การเต้นรำใหม่ๆก็เกิดขึ้นอีกมาก อาทิ การเต้น มิลิตารี่ สก๊อตติช (Millitary Schottische) การเต้นเค็กวอล์ค (Cakewalk) ซึ่งเป็นการเต้นรำแบบหนึ่งของพวกนิโกรในอเมริกา
การเต้นทูสเตป (Two-Step) การเต้นบอสตัน
(Boston) และการเต้นเตอรกีทรอท(Turkey trot)ในศตวรรษที่ 20 ค.ศ. 1910 จังหวะแทงโก้จากอาร์เจนตินา
เริ่มเผยแพร่ที่ปารีส เป็นจังหวะที่แปลกและเต้นสวยงามมาก ในระหว่างปี ค.ศ.
1912-1914 Vemon และ lrene Castle ได้นำรูปแบบการเต้นรำแบบใหม่ๆ จากอังกฤษมาเผยแพร่ในอเมริกาก่อนสงครามโลกครั้งที่
1 ได้แก่จังหวะฟอกซ์ทรอทและแทงโก้ ปี ค.ศ. 2461 สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษได้เลือกเฟ้นจังหวะเต้นรำ
ทั้งบอลรูมและลาตินอเมริกาเรียบเรียง
ขึ้นเป็นตาราวางหลักสูตรของแต่ละจังหวะรัดกุม ในสมัยนี้ประเภทบอลรูม
มีเพียง 4 จังหวะคือ วอลซ์
ควิกวอลซ์ สโลวฟ์ อกซ์ทรอทและแทงโก้ ปี ค.ศ. 1920 ในอเมริกาเริ่มนิยมจังหวะ
Paso-Doble และการเต้นรำแบบก้าวเดียวสลับกัน (One-step) ซึ่งเรียกกันว่า Fast
fox-trot ปี ค.ศ. 1925 จังหวะชาร์ลตัน ( Charleston) เริ่มเป็นที่นิยม
รูปแบบการเต้นคล้ายทูสเตป และในปีเดียวกันนี้ Arthur Murray ก็ได้ให้กำเนิดการเต้นรำแบบสมัยใหม่
(Modem Dances) ขึ้นการเต้นรำแบบสมัยใหม่นี้เป็นการเต้นรำที่แสดงออกถึงจินตนาการของแต่ละบุคคล
ไม่มีท่าเต้นที่แน่นอนตายตัว บางครั้งก็นำท่าบัลเล่ย์มาผสมผสานด้วย ปี ค.ศ. 1929
จังหวะจิตเตอร์บัก ( Jittebug) เริ่มเป็นที่นิยม
รูปแบบการเต้นต้องอาศัยยิมนาสติก การเบรก และการก้าวเท้าย่ำ เร็วๆ ในปีเดียวกันอิทธิพลจากเพลงแจ๊สของอเมริกา
ทา ให้เกิดจังหวะควิก สเตปขึ้น เป็นจังหวะที่ 5 ของบอลรูม ปี ค.ศ. 1929 ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการลีลาศ
(Official Board of Ballroom Dancing ) ขึ้นในประเทศอังกฤษ
และจัดการแข่งขันเต้นรำในอังกฤษทุกปี ปี ค.ศ. 1930 การเต้นรำของชาวคิวบา (Cuban Dance) ก็เป็นที่นิยมมากในอเมริกา คือจังหวะ
คิวบันรัมบ้า หรือจังหวะรัมบ้า ปี ค.ศ. 1939 บรรดาครูลีลาศและผู้ทรงคุณวุติทางลีลาศในอังกฤษได้ร่วมกันวางกฎเกณฑ์ของลวดลายต่างๆ
ในลีลาศเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกันในแต่ละจังหวะมีประมาณ 20 ลวดลาย ปี ค.ศ. 1940
การเต้นคองก้าและแซมบ้าจากบราซิลก็เป็นที่นิยมกันมาก ปี ค.ศ. 1950 ได้จัดตั้งสภาการลีลาศระหวางชาติ
( International Councll of Ballroom Dancing) โดยใช้ชื่อย่อว่า I.C.B.D. และในปีเดียวกันนี้มีจังหวะใหม่ๆ
เข้ามาเผยแพร่อีก เช่น จังหวะแมมโบ้ จากคิวบา ชา ชา ช่า จากโดมินิกัน และเมอเรงเก้
จากโดมินิกัน เช่นกัน ปี ค.ศ. 1959 จัดแข่งขันลีลาศชิงแชมป์เปี้ยนโลกขึ้นที่ประเทศอังกฤษ
โดยจัดทั้งประเภทสมัครเล่นและอาชีพ ตามกฎเกณฑ์ที่สภาการลีลาศระหว่างชาติกำหนด
นอกจากนี้สภาการลีลาศระหว่างชาติได้กำหนดจังหวะมาตรฐานไว้ 4 จังหวะ คือ วอลซ์
ฟอกซ์ทรอท แทงโก้ และควิกสเตป ในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จังหวะที่มีการจัดการแข่งขันมีวอลซ์แบบอังกฤษ
ฟอกซ์ทรอท แทงโก้ ควิกสเตป และเวนิสวอลซ์ นอกจากนี้อเมริกาและอังกฤษได้แนะนำร็อคแอนด์โรคให้ชาวโลกได้รู้จัก
ปี ค.ศ. 1960 มีจังหวะใหม่ๆ เกิดขึ้นในอเมริกาโดยคนผิวดำ คือ จังหวะทวิสต์ การเต้นจะใช้การบิดลำตัว
เข่าโค้งงอ การเต้นจะไม่แตะต้องตัวกับคู่คือต่างคนต่างเต้น นอกจากนี้ยังมีจังหวะ
ฮัสเซิล ( Hustle) และจังหวะบัสสาโนวา
(Bossanova) ซึ่งดัดแปลงจากแซมบ้าของบราซิลปี ค.ศ. 1970
นิยมการเต้นรำที่เรียกว่า ดิสโก้ (Disco) ซึ่งค่อนข้างเต้นแบบอิสระมากอย่างไรก็ดี
ในปัจจุบันนี้มีการเต้นรำใหม่ๆ เกิดขึ้นหลายแบบ เช่น แฟลชดาน (Flash Dances) เบรกดานซ์ (Brake Dances) ซึ่งมักจะเริ่มจากพวกนิโกรในอเมริกา
และยังมีการเต้นรำโดยใช้ท่าบริหารร่างกายประกอบจังหวะดนตรีซึ่งเรียกว่า
แอโรบิคดานซ์ (Aerobic Dances) ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้
การเต้นรำแบบต่างๆ เหล่านี้ไม่จัดเป็นการลีลาศ นอกจากนี้จังหวะเต้นรำก็เกิดขึ้นใหม่ๆ
อีกหลายจังหวะเช่น สลูปปี้ เจอร์ค วาทูซี่ เชค อโกโก้ แมทโพเตโต้ บูการลู
ซึ่งจัดเป็นการเต้นรำสมัยใหม่อยู่ไม่จัดเป็นการลีลาศเช่นกัน
ลีลาศในประเทศไทย
การลีลาศในประเทศไทย ในเมืองไทยมีคนเต้นรำเป็น ตั้งแต่สมัยรัชการที่ 4 และคนที่เป็นนักเต้นรำคนแรก ก็คือ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในสมัยรัชกาลที่ 5
และรัชกาลที่ 6
ก็มีการเต้นรำกันทุกปีที่มีงานเฉลิมพระชนมพรรษา โดยจะมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เป็นองค์ประธาน ซึ่งจะจัดกันที่พระที่นั่งจักรีฯ
หรือส่วนใดส่วนหนึ่งในเขตพระราชฐาน ซึ่งราชฑูตต่างๆ ก็จะมาเข้าเฝ้าด้วย แต่ส่วนใหญ่ที่เต้น
ก็มักจะเป็นจังหวะวอลซ์อย่างเดียว
(นิตยสารลีลาศ ฉบับที่ 2 เดือนกันยายน , 2521)
ต่อมาในปี พ.ศ.2475 ได้มีการตั้งสมาคมสมัครเล่นเต้นรำขึ้น มีพระองค์เจ้าวรรณไวทยากรวรวรรณ
เป็นนายกสมาคม และนายหยิบ ณ นคร
เป็นเลขาธิการสมาคม ต่อมาเมื่อมีสมาชิกมากขึ้น
จึงจัดงานลีลาศขึ้นที่สมาคมคณะราษฎร์ ซึ่งพระยาพหลฯ
หัวหน้าคณะราษฎร์จะจัดการเลี้ยงฉลอง ที่วังสราญรมย์ จากนั้นก็มีการลีลาศกันบ่อยเข้า
และมีการแข่งขันกันเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ที่วังสราญรมย์ โดยมีพลเรือตรีเฉียบ
แสงชูโต กับคุณประนอม สุขขุม
เป็นแชมป์คู่แรกของประเทศไทย
คำว่า
"ลีลาศ" หรือ "เต้นรำ" มีความเหมือนๆ กัน
ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน ฉบับปีพุทธศักราช 2525 ได้ให้ความหมายไว้ดังนี้ "ลีลาศ" เป็นนาม แปลว่า
"ท่าทางอันงาม การเยื้องกราย" เป็นกริยา แปลว่า "เยื้องกราย
เดินนวยนาด" ส่วนคำว่า "เต้นรำ" แปลว่า "เคลื่อนที่ไป
โดยมีระยะก้าวตามกำหนดให้เข้าจังหวะกับดนตรี ซึ่งเรียกว่า ลีลาศ
โดยปกติเต้นเป็นคู่ชายหญิง"
ประเทศไทยเรียกการลีลาศว่า เต้นรำ มานานแล้ว คำว่า ลีลาศ
ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า "Social
Dance" ในยุโรป เรียกการลีลาศ หรือเต้นรำว่า "Ballroom
Dancing" ผู้บัญญัติศัพท์คำว่า "ลีลาศ" คือ
พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร วรวรรณ (กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์) เมื่อปี พ.ศ.2476
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น